วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

ศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 66 ปีการศึกษา 2559

       ถึงเวลาที่เหล่าเด็กนักเรียนตัวน้อยจะออกมาแสดงฝีมือให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ประจักษ์ ในงานศิปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 66 ประจำปีการศึกษา 2559 เวทีที่จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนและครูมาเปิดหูเปิดตา หาประสบการณ์ ได้แสดงฝีไม้ลายมือ ให้สาธารณชนได้รับรู้ถึงความมานะ พยายาม ได้ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี

มีอะไรให้แสดงฝีมือบ้าง
       มีการแข่งขันอยู่ด้วยกัน 14 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
  • 1. ปฐมวัย
  • 2. ภาษาไทย
  • 3. คณิตศาสตร์ 
  • 4. วิทยาศาสตร์
  • 5.นักบินน้อย สพฐ.
  • 6. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
  • 7. สุขศึกษาและพลศึกษา
  • 8. ศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์)
  • 9. การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานอาชีพ  คอมพิวเตอร์ )
  • 10. หุ่นยนต์
  • 11. ภาษาต่างประเทศ
  • 12. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
  • 13. ศึกษาพิเศษ โรงเรียนเรียนร่วม
  • 14. การศึกษาพิเศษ เฉพาะความพิการ
แต่ละกลุ่มก็มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แตกออกเป็นกิจกรรมย่อยอีกหลายกิจกรรม และแต่ละกิจกรรมก็มีเกณฑ์การแข่งขันแตกต่างกันออกไป ซึ่งเกณฑ์การแข่งขันสามารถหาโหลดได้จากเวปไซต์ขงเขตพื้นที่ฯ ที่ตนเองสังกัด หรือจากเวปไซต์งานศิลปะฯ โดยตรงก็ได้

       ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการแข่งขัน ก็ต้องมีแพ้มีชนะ เด็กนักเรียนตัวล็กๆ บางครั้งก็ยังไม่รู้จัก รู้เพียงแต่ว่า เมื่อมาแล้วตนเองก็ต้องชนะได้รับรางวัลกลับไป เมื่อไม่เป็นดังหวังก็ย่อมเสียใจ ตรงส่วนนี้ก็คงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องอธิบายให้หนูน้อยเข้าใจคำว่า น้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เพื่อสร้างให้เด็กไทย เป็นเด็กดีในอนาคต

ติดตามข้อมูลการแข่งขันได้ที่ http://www.sillapa.net/home/

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คำขวัญวันวิทย์

คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2532 : พิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2533 : เพิ่มคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2534 : ขจัดมลพิษทุกชีวิตจะปลอดภัย
          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2536 : วิทยาศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มคุณค่าชีวิต พิทักษ์สิ่งแวดล้อม

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2537 : ขจัดปัญหาน้ำของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2538 : เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวไกล เศรษฐกิจไทยมั่นคง

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2539 : วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาชาติไทยให้ก้าวหน้า

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2540 : พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2541 : พัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ พัฒนาชาติด้วยภูมิปัญญาไทย

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2542 : วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตไทยที่ยั่งยืน

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2543 : พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2544 : วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2545 : วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2546 : เส้นทางแห่งการค้นพบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณค่าแห่งภูมิปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2547 : เศรษฐกิจของชาติมีปัญหา วิทยาศาสตร์มีคำตอบ

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2548 : วิทยาศาสตร์คือความรู้สู่ความสำเร็จ

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2549 : เศรษฐกิจพอเพียง เคียงคู่ไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2550 : วิทยาศาสตร์สร้างปัญญาในสังคม

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2551 : วิทยาศาสตร์สร้างชาติ สร้างอนาคต
          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2552 : วิทยาศาสตร์ก้าวไกล นำไทยก้าวหน้า

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2553 : จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2554 : จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2555 : จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2556 : ทันโลก ทันวิทย์ จุดประกายความคิดสู่อาเซียน
          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2557 :  จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2558 :  จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม

          - คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2559 :  จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/27324

วันวิทยาศาสตร์

วันวิทยาศาสตร์ของไทย

       เดือนสิงหาคม นอกจากจะเป็นเดือนของแม่แล้ว ยังเป็นเดือนที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อีกด้วย นั่นก็คือ หากย้อนวันเวลากับไปเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร สุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังจากที่พระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี

        โดยพระองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า จะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึง ปราณบุรี และลงไปถึง จังหวัดชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ มีคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์ เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ในกาลต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่อำเภอบ้านหว้ากอขึ้น

 

ต่อมาคณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" นั่นเอง

มีอะไรในวันวิทยาศาสตร์



       เมื่อปี พ.ศ. 2527 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ จนได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญ ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม

       กิจกรรมในสัปดาห์วิทยาศาสตร์

      - ร่วมพิธีวางมาลาและเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
      - จัดนิทรรศการเผยแพร่ พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
      - จัดกิจกรรมส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์ และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://hilight.kapook.com/view/27324

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มารดา บุพการี ผู้มีความการุณ



       แม่ คำสั้นๆ ที่มีความหมายตามที่ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ไว้คือ คำที่เรียกผู้หญิงที่เป็นผู้ให้กำเนิด หรือเลี้ยงดูลูก แต่ความหมายแท้จริงนั้น มีความยิ่งใหญ่เหลือคณานับ เริ่มตั้งแต่มีการปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ เมื่อได้ทราบว่ามีอีก 1 ชีวิตอยู่ในอุทร ก็ยังความปีติมาให้จนสุดพรรณนา เฝ้าทะนุถนอม ป้องกัน ระมัดระวังตนเองอย่างเต็มที่ คอยบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอย่างสุดความสามารถ เลือกสรรแต่สิ่งดีๆ มาบำรุงโดยหวังเพียงให้อีก 1 ชีวิต ได้สมบูรณ์พร้อมเมื่อออกมาสู่โลกภายนอก ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ต้องทนทรมานร่างกาย แต่เป็นการทรมานที่ยินยอมพร้อมใจ เต็มใจ และไม่หวังสิ่งตอบแทน เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดการรอคอย กลับพบว่า ความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญนั้นมากมายเสียจน ความทรมานที่ผ่านมา 9 เดือน เทียบมิได้เลย แต่ก็ต้องอดทน


       ในที่สุด เมื่อความทรมานสิ้นสุดลง ความปีติสุขก็แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ เมื่อพบหน้าคนที่รอคอยมาเนิ่นนาน น้ำตาแห่งความสุขและสมหวังไหลรินอย่างช้าๆ ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา นอกจากคำว่า...รัก ที่เอ่อร้นอยู่เต็มอก ยามลูกน้อยดูดน้ำนมจากอก นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริง ความสุขที่สัญญากับตนเองว่า จะรัก และจะปกป้อง คนๆ นี้ด้วยชีวิตทั้งชีวิต...



เนื้อเพลง หนึ่งเดียวคือแม่ (เพลงประกอบละคร ทองเนื้อเก้า)
อันพระคุณแม่นับคณา เกินกว่ายากหาไหน
พสุธาที่กว้างไกล ยังไม่เท่าแม่นี้
รวมแผ่นฟ้ามหานที พระคุณแม่นี้มากเสียยิ่งกว่า
ยามแม่อุ้มท้อง แสนทรมา
เมื่อลูกเกิดมา แม่นั้นยินดี
ยามหนาวลูกนอนแม่ซ่อนอกไว้
ยามร้อนผิวกายแม่ใช้พัดวี
ยามหิวคราใดแม่ให้ห่วงหา
ป้อนน้ำข้าวปลาลูกแสนเปรมปรีดิ์
พระคุณแม่นั้น อนันต์เหลือที่
ผู้ใดจะมีเสมอเหมือนได้
แม่ทนอ่อนล้า เลี้ยงมาจนใหญ่
แม่ยอมเหนื่อยกาย หาเงินส่งเสียให้เรียน
จงอย่าลืมคิดทดแทนคุณท่าน ก่อนบั้นปลาย
แม่เปรียบดังเหมือนร่มไทรใบแก่แผ่เหนือเศี­ยร
วัยผ่านพ้น สักวันคงเปลี่ยน
คอยหมั่นเพียร เยี่ยมเยียนเมื่อท่านชรา
แม่คงชะแง้อยากแลเห็นหน้า
แม้ลูกไม่มา แม่คงเจ็บช้ำฤดี
อย่าทิ้งให้แม่ได้แต่หงอยเหงา
มองหาลูกเต้าสักคนไม่มี
อย่าคิดลืมแม่เมื่อแก่ชรา
ท่านเลี้ยงเรามาช่วยชุบชีวี
เลือดในอกนั้น กลั่นจนล้นปรี่
น้ำนมแม่นี้ มีค่านับอนันต์
ผู้คนหมื่นแสนทั่วแดนนับล้าน
แต่ว่าแม่นั้นเห็นมีอยู่แค่คนเดียว
ผู้คนหมื่นแสน ทั่วแดนนับล้าน
แต่ว่าแม่นั้น เห็นมีอยู่แค่คนเดียว

Infographic

IG หรือ Infographic คืออะไร ?
 
       Infographic ย่อมาจาก Information Graphic คือ ภาพหรือกราฟิกซึ่งบ่งชี้ถึงข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสถิติ ความรู้ ตัวเลข ฯลฯ เรียกว่าเป็นการย่นย่อข้อมูลเพื่อให้ประมวลผลได้ง่ายเพียงแค่กวาดตามอง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลซับซ้อนมหาศาลในเวลาอันจำกัด ( เหตุผลเพราะมนุษย์ชอบและจดจำภาพสวยๆ ได้มากกว่าการอ่าน )  และในปัจุบันกำลังเป็นที่นิยมในโลกของ Social Network
       ประโยชน์และพลังของ Infographic นั้นมีอยู่มากมาย เพราะด้วยแผนภาพสวยๆ นี้ สามารถทำให้คนทั่วๆ ไปสามารถเข้าถึง เข้าใจ ข้อมูลปริมาณมากๆ ด้วยแผนภาพภาพเดียวเท่านั้น ด้วยข้อมูลที่ถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย เป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเราสามารถหยิบยกเรื่องราวเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โตมานำเสนอ ในมุมมองที่แปลกตา ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน 

ตัวอย่างภาพ Infographic







วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เทคนิคคิดเลขเร็ว 2

          เทคนิคการคิดเลขเร็วนั้นมีมากมายหลายวิธี ที่นำเสนอไปครั้งก่อนก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น วันนี้จึงมีเทคนิคคิดคำนวณเกี่ยวกับการหารมาฝากกันบ้าง เพราะการหารให้รวดเร็วนั้นก็เป็นเรื่องยากพอสมควร ลองนำไปฝึกกันดูนะครับ






วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เทคนิคคิดเลขเร็ว 1

          ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ใครเก่งคำนวณหรือคิดเลขไว ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะเราใช้การคิดเลขแทบจะตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งเข้านอนอีกทีตนกลางคืน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ควรที่จะฝึกฝนการคำนวณเอาไว้บ้าง

          เทคนิคคิดคำนวณที่จะนำเสนอในวันนี้ หากมีการฝึกฝนบ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ ก็คงมีส่วนช่วยให้การคำนวณง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยร้องหาแต่เครื่องคำนวณเพียงอย่างเดียว






          ลองนำไปฝึกกันดูนะครับ

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ครูในศตวรรษที่ 21

"ความเป็นครูในศตวรรษที่ 21"


          ครูในยุคศตวรรษ ที่ 21 คือ ครูในยุคโลกาภิวัฒน์ จะต้องมีความรู้กว้างไกลในเทคโนโลยีที่ เต็มไปด้วย IT ครูจะต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจึงจะทันโลกยุคใหม่ นวัตกรรมจึงเป็นเครื่องมือของครู ที่จะต้องพัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยี วิชาการ เพื่อนานวัตกรรมไปพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้และเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น และยังถือได้ว่า ครูเป็นผู้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21


          ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C 3R คือ
  • Reading (อ่านออก), 
  • (W) Riting (เขียนได้), และ 
  • (A) Rithemetics (คิดเลขเป็น) 

          7C ได้แก่

  • Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา) 
  • Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) 
  • Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) 
  • Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา) 
  • Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ) 
  • Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) 
  • Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)

          ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ กระบวนการเรียนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้เรียนจะเรียนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยมีความก้าว หน้า และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากและรวดเร็วขึ้น ปัญหาที่สืบเนื่องมาจากจานวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นต่อห้องเรียนจนทาให้วิธี การสอนแบบเดิมๆ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ สื่อที่แสดงมีขนาดใหญ่ไม่เพียงพอสาหรับ ผู้เรียนที่อยู่หลังห้อง ความจดจ่อกับผู้สอนถูกเบี่ยงเบนจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนขนาด ใหญ่ ผู้เรียนมีการนาเอาคอมพิวเตอร์พกพาเข้ามาสืบค้นความรู้ในชั้นเรียน ผู้เรียนถามคาถามเกี่ยวกับเรื่องที่ครูกาลังสอน หรือนาข้อมูลเหล่านั้นมาพูดคุย โดยที่ครูตอบไม่ได้ หรือไม่เคยรู้มาก่อน

ขอบคุณความรู้ดีๆ จาก
http://www.kruinter.com/file/34320140819073316-%5Bkruinter.com%5D.pdf

คณิตศิลป์

คณิตศิลป์ คืออะไร ?

          คณิตศิลป์ คือ การผสมผสานกันระหว่างศาสตร์ 2 แขนง นั่นก็คือ คณิตศาสตร์ และ ศิลปะ นั่นเอง งานคณิตศิลป์เป็นการเอาเส้นตรงมาทำให้เกิดเป็นรูปร่างและรูปทรงต่างๆ ขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าเป็นการสร้างรูปภาพต่างๆ ขึ้นมาจากรูปทรงทางเรขาคณิต แทนที่จะใช้ การขีดเส้นก็เปลี่ยนมาเป็นการปักเส้นด้ายเป็นเส้นตรงไปตามจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ ปักซ้อนทับ ผสมผสานกันระหว่างรูปทรงต่างๆ จนขึ้นเป็นภาพ

          ซึ่งนักเรียนก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องรูปทรงเรขาคณิต การวัด คู่อันดับ ฯลฯ สอดแทรกเข้าไปโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยก็ทำให้เด็กไม่กลัววิชาคณิตศาสตร์ มองเห็นความสวยงามในวิชาคณิตศาสตร์ เรียนหนังสือได้อย่างมีความสุข

           คณิตศิลป์ นอกจากจะเป็นงานอดิเรก เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการเรียนคณิตศาสตร์แล้ว ยังสามารถนำมาสร้างเป็นอาชีพเสริมเพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและตนเองได้อีกด้วย ซึ่งกว่าจะทำให้งานศิลป์ที่เราสร้างก่อเกิดเป็นรายได้ขึ้นมานั้น ก็ต้องผ่านการบ่มเพาะความรู้ความสามารถ ทำบ่อยๆ ให้เกิดประสบการณ์และความชำนาญ จนสามารถสร้างให้มีความสวยงามจนก่อให้เป็นรายรับได้ในที่สุด

ตัวอย่างงานคณิตศิลป์สวยๆ 


ที่มา : http://www.dek-d.com/teentrends/34840/
         http://www.thaihealth.or.th/Content/27633-'คณิตศาสตร์'ผสาน'ศิลปะ'สร้างสรรค์ลายปัก.html

พิธีบูชาครู

ครูคือใคร ใครคือครู
          ครู มีความหมายว่า ผู้สั่งสอนศิษย์ ผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ศิษย์ ซึ่งคำว่าครูนั้น มาจากคำว่า ครุ ที่แปลว่า หนัก อันหมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสอยู่มิใช่น้อย เพราะการที่คนๆ หนึ่ง กว่าจะเติบโต มีความรู้ความสามารถ จนสามารถดูแลตนเองและครอบครัว เป็นคนดีของสังคมได้นั้น ผู้เป็น ครู จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดามารดาเลย 

          ด้วยเหตุนี้ ครู จึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การแสดงความกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น พิธีบูชาครู หรือ พิธีไหว้ครู นั้น จึงเป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ และมีอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพของคนไทย ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพ และระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต 

          การไหว้ครู ก็คือการที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือครูบาอาจารย์อย่างจริงใจ ว่าท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ จึงพร้อมใจกันปวารณาตัวรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพื่อให้บรรลุปลายทางแห่งการศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้

เครื่องสักการะที่ใช้ในพิธีไหว้ครู

          ในพิธีไหว้ครูนั้น ศิษย์แต่ละคนจะต้องตระเตรียมเครื่องสักการะกันเอง โดยตั้งแต่สมัยโบราณมา การไหว้ครูไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากมายนัก เครื่องสักการะที่ใช้ก็เป็นสิ่งของที่หาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเครื่องสักการะนั้นนอกจากธูปและเทียนแล้ว ก็ยังมีข้าวตอก ดอกเข็ม หญ้าแพรก และดอกมะเขือ



ความหมายของดอกไม้ที่นำมาไหว้ครู


          ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับ หญ้าแพรก 

          หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง

          ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก

          ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

 จากใจของครู ในวันไหว้ครู 
   
          ในการจัดพานไหว้ครูก็ดี หรือดอกไม้ไหว้ครูก็ดี ในปัจจุบันนี้นักเรียนส่วนใหญ่ต่างสรรหาดอกไม้สวยงามที่มีขายตามตลาด โดยมองข้ามดอกไม้ความหมายดีที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล พานไหว้ครูก็มิใช่ฝีมือนักเรียนเอง แต่กลับไปจ้างให้ผู้อื่นทำให้ 

         นักเรียนจะทราบหรือไม่ว่า สำหรับครูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพานไหว้ครู หรือเครื่องสักการะต่าง ครูมิได้ต้องการเพียงแค่ความสวยงามภายนอก สิ่งที่ครูปรารถนา คือ ความตั้งใจอันดีที่ศิษย์ร่วมมือร่วมใจกันจัดทำขึ้นเพื่อน้อมบูชาครูจากใจจริงเท่านั้นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
K@pook

เพลงพระคุณที่สาม

          ใกล้ถึงวันไหว้ครูแล้ว ทำให้นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ เพลงที่มีความหมายถึงครู ไม่เพียงแต่เพลงนี้เท่านั้น ยังมีอีกมากมายหลายเพลงที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับครู แม้วันนี้เราจะเป็นครู แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็อดหวนคิดไปถึงสมัยที่ยังเป็นนักเรียนเสียมิได้


เพลงพระคุณที่สาม


ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ 

อบรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดี 
ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที 
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น 
ครูมีบุญคุณจึงขอเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า 
ท่านสั่งสอนเราอบรมให้เราไม่เว้น 
ท่านอุทิศไม่คิดถึงความยากเย็น 
สอนจนรู้จัดเจนเฝ้าเน้นเฝ้าแนะมิได้อำพราง 
พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส 
แต่ว่าใครหนอใครเปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง 
พลาดจากความจริงยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง 
มีใครไหนบ้างแนะนำแนวทางอย่างครู 
บุญเคยทำมาแต่ปางใดๆเรายกให้ท่าน 
ตั้งใจกราบกรานระลึกคุณท่านกตัญญู 
โรคและภัยอย่าได้แผ้วพานคุณครู 
ขอกุศลผลบุญค้ำชูให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร 
(ให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร)

ขับร้องโดย นักร้องประสานเสียงจาก ธรรมศาสตร์คอรัส

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ลำดับการดำเนินการทางคณิตศาสตร์

ลำดับการดำเนินการ

          เป็นกฎที่ใช้ในการจัดลำดับการใช้เครื่องหมายในการคำนวณทางวิชาคณิตศาสตร์และวิชาวิทยาศาสตร์ในชุดการคำนวณที่มีความกำกวม

          ลำดับการดำเนินการนั้นเป็นข้อตกลงร่วมกันของนักคณิตศาสตร์ทั่วโลก เพื่อให้การคำนวณและคำตอบที่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เกิดการผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น

กฎพื้นฐาน

การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ต้องดำเนินการตามลำดับหัวข้อดังต่อไปนี้ในนิพจน์คณิตศาสตร์ จากซ้ายไปขวา
ลำดับการดำเนินการ หรือวิธีการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และภาษาโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ แสดงดังนี้ คือ
  1. ดำเนินการในวงเล็บก่อน จากซ้ายไปขวา
  2. เลขยกกำลัง และ กรณฑ์ จากซ้ายไปขวา
  3. การคูณ และ หาร จากซ้ายไปขวา
  4. การบวก และ การลบ จากซ้ายไปขวา

ตัวอย่างเมื่อคำนวณตามกฎทั้งหมด

แก้ไข

(1 + 8) * (4 - 1) + 16 / 23
(1 + 8) * (4 - 1) + 16 / 23
9 * (4 - 1) + 16 / 23
9 * 3 + 16 / 23
9 * 3 + 16 / 8
9 * 3 + 16 / 8
27 + 16 / 8
27 + 2
29


ที่มา:  https://th.m.wikipedia.org/wiki/ลำดับการดำเนินการ

ประสบการณ์ความสำเร็จในงานด้านการสอน

 กิจกรรมพับถุงนมก่อนทิ้ง
        หลังทำกิจกรรมหน้าเสาธงในทุกๆ เช้าก่อนเข้าห้องเรียน นักเรียนจะต้องดื่มนมพร้อมกันทั้ง 6 ระดับชั้น เมื่อดื่มเรียบร้อยนักเรียนทุกคนก็จะนำถุงนมของตนไปทิ้งลงถังขยะ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ บางวันจะมีสุนัขมาคุ้ยถังขยะ ซึ่งทำให้ถังขยะล้ม ถุงนมก็จะกระจายเกลื่อนพื้น ทำให้เกิดความสกปรกไม่น่ามอง


          คณะครูจึงปรึกษากันเพื่อหาทางแก้ไข ทำให้เกิดแนวทางคือ เมื่อนักเรียนดื่มนมกันหมดแล้ว ให้นักเรียนพับถุงนมของตัวเองให้เล็กที่สุด แล้วให้ตัวแทนของห้อง 1 คน อ้าปากถงนมของตนให้กว้างแล้วเดินเก็บถุงนมของเพื่อนๆ ทุกคนที่พับเสร็จแล้วทิ้งลงในถุงนมของตนเอง เมื่อใส่ครบทุกคนก็นำไปให้ครูตรวจสอบโดยการเขย่า ว่าจะไม่มีถุงนมถุงใดหลุดหล่นออกมา

           ดังนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจะเหลือถุงนมที่ต้องนำไปทิ้งในถังขยะเพียง 6 ถุงเท่านั้น จากนั้นจึงนำไปทิ้งลงในถังขยะ เมื่อมีสุนัขมาล้มถังขยะก็จะมีถุงนมกลิ้งออกมาเพียง 6 ถุงเท่านั้น  ไม่จำนวน 100 กว่าถุงเหมือนในอดีต

           ประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรม

1. เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบ และมีระเบียบวินัย เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน
2. เป็นการจำกัดปริมาณขยะที่เกิดจากถุงนม